27/11/57

Papercraft Model กระดาษ จินตนการแห่งกระดาษ: F15

Papercraft Model กระดาษ จินตนการแห่งกระดาษ: F15: ในปีพ.ศ. 2510 หน่วยข่าวกรองสหรัฐประหลาดใจ   เมื่อรู้ว่าสหภาพโซเวียตกำลังสร้างเครื่องบินขับไล่ขนาดใหญ่ที่มีชื่อว่า มิโคยัน-กูเรวิชค์ มิก-25 ...

F15

ในปีพ.ศ. 2510 หน่วยข่าวกรองสหรัฐประหลาดใจ เมื่อรู้ว่าสหภาพโซเวียตกำลังสร้างเครื่องบินขับไล่ขนาดใหญ่ที่มีชื่อว่ามิโคยัน-กูเรวิชค์ มิก-25  ในตอนนั้นทางฝั่งตะวันตกไม่รู้ว่ามิก-25 ถูกออกแบบมาเพื่อเป็นเครื่องบินสกัดกั้นความเร็วสูง ไม่ใช่เครื่องบินครองความได้เปรียบทางอากาศ  ดังนั้นจุดเด่นของมันคือความเร็วไม่ใช่ความคล่องตัว หางที่ใหญ่ของมิก-25 นั้นทำให้เครื่องบินบางลำของสหรัฐเสียเปรียบ มันทำให้กองทัพอากาศกลัวว่ามันจะทำงานได้ดีกว่าเครื่องบินของอเมริกา ในความเป็นจริงครีบและหางที่ใหญ่ของมิก-25 มีไว้เพื่อจัดการกับความเฉื่อยในการบินด้วยความเร็วสูงและระดับสูง
เอฟ-4 แฟนทอม 2 ของกองทัพอากาศและกองทัพเรือสหรัฐเป็นเครื่องบินขับไล่แบบเดียวที่มีกำลังและความคล่องตัวพอที่จะจัดการกับภัยคุกคามจากเครื่องบินขับไล่ของโซเวียต  ตามนโยบายแฟนทอมนั้นไม่สามารถปะทะกับเป้าหมายโดยที่ยังไม่เห็นอย่างจัดเจนได้ ดังนั้นพวกมันจึงไม่สามารถจัดการกับเป้าหมายในระยะไกลได้ตามที่ถูกออกแบบมา ขีปนาวุธพิสัยกลางเอไอเอ็ม-7 สแปร์โวร์และแม้กระทั่งเอไอเอ็ม-9 ไซด์ไวน์เดอร์ก็ไม่มีประสิทธิภาพในระยะใกล้ซึ่งพบว่าปืนมักเป็นอาวุธที่ดีกว่าในระยะดังกล่าว  เดิมทีแฟนทอมไม่มีปืนแต่ประสบการณ์จากสงครามเวียดนามทำให้ต้องเพิ่มปืน เข้าไป ปืนถูกติดเข้าไปที่ด้านนอกและต่อมาเอ็ม61 วัลแคนก็ถูกใช้กับเอฟ-4อี
ผู้ที่ใช้งานเอฟ-15 มากที่สุดคือกองทัพอากาศสหรัฐ เอฟ-15 ลำแรก (แบบบี) ถูกส่งมอบครั้งแรกในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2517 ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2519 เอฟ-15 ลำแลกถูกมอบให้กับฝูงบินขับไล่ที่ 555[16] เครื่องบินลำแรกๆ ได้ใช้เรดาร์เอพีจี-63 ของฮิวจ์ส แอร์คราฟท์
เอฟ-15 ทำแต้มครั้งแรกในปีพ.ศ. 2522 โดยกองทัพอากาศอิสราเอล ในปีพ.ศ. 2522-2524 ในช่วงความขัดแย้งตามชายแดนของเลบานอนกับอิสราเอล เอฟ-15เอได้ยิงมิก-21 13 ลำและมิก-25 สองลำของซีเรียตก เอฟ-15เอและบีถูใช้โดยอิสราเอลในปฏิบัติการหุบเขาเบก้า ในสงครามเลบานอนเมื่อปีพ.ศ. 2525 เอฟ-15 ของอิสราเอลได้ยิงเครื่องบินขับไล่ 40 ลำของซีเรียตก (มิก-21 23 ลำและมิก-23 17 ลำ) และเฮลิคอปเตอร์เอสเอ.342แอลหนึ่งลำ ต่อมาในปีพ.ศ. 2528 เอฟ-15 ของอิสราเอลในปฏิบัติการวู้ดเลคได้ทิ้งระเบิดใส่ฐานบัญชาการของกลุ่มพีแอลโอในตูนีเซีย 
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจากโซเวียตและซีเรีย แสดงให้เห็นว่า เอฟ-15 จำนวน 3 ลำของอิสราเอล ได้ถูกยิงตกโดย มิก-23 MLs ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2526 
นักบินเอฟ-15ซีของกองทัพอากาศซาอุดิอาระเบียได้ยิงเอฟ-4อี แฟนทอม 2 สองลำของอิหร่านตกในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2527 และได้ยิงดัซโซลท์ มิราจ เอฟ1 สองลำของอิรักตกในสงครามอ่าว
กองทัพอากาศสหรัฐได้ใช้เอฟ-15ซี ดี และอีในสงครามอ่าวเปอร์เซียเมื่อปีพ.ศ. 2534 เพื่อสนับสนุนปฏิบัติการพายุทะเลทรายที่ซึ่งพวกมันได้รับชัยชนะทางอากาศ 36 ครั้งจากทั้งหมด 39 ครั้ง เอฟ-15อีถูกใช้ในตอนกลางคืนเป็นหลักโดยตามล่าหาขีปนาวุธสกั๊ดและตำแหน่งปืนใหญ่ ตามที่กองทัพอากาศกล่าวเอฟ-15ซีได้ทำการสังหารเครื่องบินของอิรักไป 34 ครั้งในสงครามเมื่อปีพ.ศ. 2534 โดยส่วนใหญ่ใช้ขีปนาวุธ มีมิก-29 ห้าลำ มิก-25 สองลำ มิก-23 แปดลำ มิก-21 สองลำ ซู-25 สองลำ ซู-22 สี่ลำ ซู-7 มิราจ เอฟ1 หนึ่งลำ อิล-76 หนึ่งลำ พีซี-9 หนึ่งลำ และเฮลิคอปเตอร์เอ็มไอ-8 สองลำ หลังจากครองความได้เปรียบทางอากาศสำเร็จในสามวันแรก เครื่องบินของอิรักเริ่มหนีไปทางหร่านมากกว่าเผชิญหน้ากับฝ่ายอเมริกา เอฟ-15ซีถูกใช้สำหรับการครองอากาศและเอฟ-15อีถูกใช้เพื่อโจมตีเป้าหมายบนพื้นดินอย่างหนักหน่วง เอฟ-15อีได้ทำการสังหารทางอากาศโดยเป็นเฮลิคอปเตอร์เอ็มไอ-8 ของอิรักโดยใช้ระเบิดนำวิถีด้วยเลเซอร์ เอฟ-15อีสูญเสียไปสองลำในปีพ.ศ. 2534 จากการยิงจากบนพื้นอีกลำได้รับความเสียหายบนพื้นจากการยิงของขีปนาวุธสกั๊ดใส่ฐานบินในดาราน
พวกมันถูกใช้สนับสนุนปฏิบัติการเซาท์เธิร์นวอชท์โดยทำการลาดตระเวนในเขตห้ามบินเหนืออิรัก ในปฏิบัติการโพรไวด์คอมฟอร์ทในตุรกี เพื่อสนับสนุนนาโต้ที่ปฏิบัติการในบอสเนีย ในปีพ.ศ. 2537 ยูเอช-60 แบล็คฮอว์คสองลำของสหรัฐถูกยิงตกโดยเอฟ-15 ซีผู้ที่คิดว่าเฮลิคอปเตอร์ทั้งสองลำเป็นของอิรักที่เข้ามาในเขตห้ามบิน เอฟ-15ซีได้ยิงมิก-29 สี่ลำของยูโกสลาเวียตกโดยใช้เอไอเอ็ม-120 แอมแรมในปฏิบัติการแอลไลด์ฟอร์ซในโคโซโว
จากคำกล่าวอ้างของนักการทหารชาวอเมริกัน ซึ่งแตกต่างไปจากข้อมูลทางประวัติศาสตร์จากฝ่ายอื่นๆนั้น เอฟ-15 ในทุกกองทัพอากาศได้ทำการรบทางอากาศที่สังหารไป 104 ลำโดยไม่สูญเสียเลยสักลำในสถิติเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551 โดยนักการทหารชาวอเมริกัน มีความเชื่อว่า ในปัจจุบันไม่มีเอฟ-15 (เอ/บี/ซี/ดี) ถูกยิงตกโดยศัตรู และมากกว่าครึ่งของการสังหารทั้งหมดทำโดยนักบินของกองทัพอากาศอิสราเอล



   F-15" redirects here. For other uses, see F15 (disambiguation 
This article is about the initial F-15 fighter versions. For the current production versions, see McDonnell Douglas F-15E Strike Eagle.
                     
The McDonnell Douglas (now Boeing) F-15 Eagle is an American twin-engine, all-weather tactical fighter designed by McDonnell Douglas to gain and maintain air superiority in aerial combat. It is among the most successful modern fighters, with over 100 aerial combat victories. Following reviews of proposals, the United States Air Force selected McDonnell Douglas' design in 1967 to meet the service's need for a dedicated air superiority fighter. The Eagle first flew in July 1972, and entered service in 1976.

The Eagle has since been exported to Israel, Japan, and Saudi Arabia, among other nations. The F-15 was originally envisioned as a pure air superiority aircraft. Its design included a secondary ground-attack capabilitythat was largely unused. The design proved flexible enough that an all-weather strike derivative, the F-15E Strike Eagle, was later developed, entering service in 1989. The F-15 Eagle is expected to be in service with the U.S. Air Force past 2025.Newer models are still being produced for foreign users. The F-15 production line is set to end in 2019, 47 years after the type's first flight.

มาดูของเราบ้าง......










เสร็จสมบูรณ์

Download at : http://paper-replika.com/index.php?option=com_content&view=article&id=5764
                              Thankyou for papercraft file

Thankyou  and if you want to share or talk or change or want to Papercraftmodel file 
My Instagram : marvorik_kp
E-mail             : marvorik@gmail.com
Thankyou and see you 

14/11/57

Statue of Liberty/เทพีเสรีภาพ

         อนุสาวรีย์เทพีเสรีภาพ หรือ เทพีเสรีภาพ เป็นอนุสาวรีย์ที่ยิ่งใหญ่ และมีคุณค่าทางจิตใจ  เรียกว่า Statue of Liberty แต่เดิมชื่อว่า Liberty Enlightening the World ตั้งอยู่ ณ เกาะลิเบอร์ตี อ่าวนิวยอร์ก ที่นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นของขวัญที่ชาวฝรั่งเศสมอบให้แก่ชาวอเมริกัน ในวันที่อเมริกาเฉลิมฉลองวันชาติครบ 100 ปี ณ วันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2419 โดยส่งมอบอย่างเป็นทางการ โดยมี ประธานาธิบดีโกรเวอร์ คลีฟแลนด์ ในวันที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2429
เทพีเสรีภาพ เป็นประติมากรรมโลหะสำริด รูปเทพีห่มเสื้อคลุม มือขวาชูคบเพลิง มือซ้ายถือถือแผ่นจารึกคำประกาศอิสรภาพของสหรัฐฯ และมีอักษรสลักว่า "JULY IV MDCCLXXVI" หรือ วันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2319(ค.ศ. 1776) เท้าข้างหนึ่งมีโซ่ที่ขาด แสดงถึงความหลุดพ้นจากการเป็นทาส สวมมงกุฎ 7 แฉกซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของทะเลทั้งเจ็ด หรือทวีปทั้งเจ็ด ภายในมีบันไดวนรวมทั้งสิ้น 162 ขั้น เกิดขึ้นตามแนวคิดของเอดูอาร์ด เดอ ลาบูลาเย นักประวัติศาสตร์ ชาวฝรั่งเศส เพื่อระลึกถึงความสัมพันธ์ของสหรัฐอเมริกา และ ฝรั่งเศส ระหว่างการปฏิวัติอเมริกัน ออกแบบโดยเฟรเดรีค โอกุสต์ บาร์โทลดี โครงร่างเหล็กออกแบบโดย เออแชน วียอเลต์-เลอ-ดุค และกุสตาฟ ไอเฟล ซึ่งเป็นผู้ออกแบบหอไอเฟล ในกรุงปารีส ส่วนฐานอนุสาวรีย์ สร้างโดยสหรัฐอเมริกา จารึกโคลงซอนเนต์ของกวีชาวอเมริกัน เอมมา ลาซารัส ซึ่งมีเนื้อหาต้อนรับผู้อพยพที่เข้าอยู่มาในอเมริกา
          สาเหตุที่ทำให้ชาวฝรั่งเศสมอบเทพีเสรีภาพให้แก่สหรัฐอเมริกา เพราะว่า พวกเขาชื่นชมชาวอเมริกันที่หาญกล้าหาญ ที่ลุกขึ้นสู้กับสหราชอาณาจักร และประกาศอิสรภาพ จากสหราชอาณาจักรสำเร็จ เป็นชาติเอกราชในที่สุด ชาวฝรั่งเศส จึงรณรงค์หาเงินบริจาคจากทั่วประเทศในการขนส่งจากฝรั่งเศส มายังสหรัฐอเมริกา เนื่องจากความใหญ่โตของอนุสาวรีย์ ทำให้ต้องแยกส่วนแล้วมาประกอบที่อเมริกา มีชิ้นส่วนรวมทั้งหมด 350 ชิ้น และนำมาประกอบขึ้นใหม่โดยใช้ระยะเวลาประมาณ 4 เดือน แต่ส่วนฐาน โดยประชาชนได้ร่วมกันบริจาคเพื่อให้การประกอบแล้วเสร็จ พบว่ามีการสร้างเสร็จ ในวันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2429 โดยหมุดตัวสุดท้ายถูกประกอบเสร็จ ในวันที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2429 
             

         ปี พ.ศ. 2527 องค์การยูเนสโก ประกาศให้อนุสาวรีย์เทพีเสรีภาพ เป็นมรดกของโลก ปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวไปเยี่ยมชมไม่น้อยกว่า 800,000 คนตามปกติแล้ว ประชาชนสามารถขึ้นไปชมวิวบนส่วนหัวมงกุฎของเทพีได้ แต่หลังเหตุวินาศกรรม 11 กันยายน พ.ศ. 2544 ทางการได้สั่งปิดอนุสาวรีย์ดังกล่าว ล่าสุด มีการเปิดให้นักท่องเที่ยว สามารถเดินทางไปที่เกาะ เพื่อชมความสวยงามของอนุสาวรีย์จากด้านล่างได้ แต่ยังตัวอนุสาวรีย์ยังปิดอยู่ รวมถึงพิพิธภัณฑ์ที่ส่วนฐานของอนุสาวรีย์ ด้วยเหตุผลทางด้านความปลอดภัย


Liberty Enlightening the World

"The Statue of Liberty Enlightening the World" was a gift of friendship from the people of France to the United States and is recognized as a universal symbol of freedom and democracy. The Statue of Liberty was dedicated on October 28, 1886.  It was designated as a National Monument in 1924.  Employees of the National Park Service have been caring for the colossal copper statue since 1933.





Download at : hhttp://cp.c-ij.com/en/contents/3155/03370/index.html
                              Thankyou for papercraft file

Thankyou  and if you want to share or talk or change or want to Papercraftmodel file 
My Instagram : marvorik_kp
E-mail             : marvorik@gmail.com
Thankyou and see you 

12/11/57

เอ็ม4 เชอร์แมน,M4 Sherman

เอ็ม4 เชอร์แม ( M4 Sherman) เป็นรถถังหลักที่ใช้โดยสหรัฐอเมริกาในสงครามโลกครั้งที่ 2 มันยังได้ทำหน้าที่ในกองกำลังของสัมพันธมิตรในอีกหลายประเทศเช่นกัน มันพัฒนามาจากรถถังขนาดกลางและเบาที่เกิดขึ้นก่อนหน้าโดยเป็นรถถังคันแรกของอเมริกาที่มีป้อมปืนซึ่งสามารถหมุนได้รอบทิศทาง เชอร์แมนคันแรกก็มากเกินที่จะเอาชนะยานเกราะของเยอรมนีในแอฟริกาเหนือ
การผลิตเชอร์แมนมีมากกว่า 5 หมื่นคันและเชสซีของมันได้เป็นพื้นฐานของยานเกราะมากมายอย่างรถถังพิฆาต รถกู้รถถัง และปืนใหญ่อัตตาจร ในอังกฤษM4ถูกเรียกว่าเชอร์แมนตามชื่อของนายพลวิลเลียม เทคัมเซ เชอร์แมน เพราะว่าอังกฤษชอบนำชื่อของนายพลที่มีชื่อเสียงจากสงครามกลางเมืองอเมริกามาตั้งเป็นชื่อรถถังที่พวกอเมริกันเป็นคนสร้าง ต่อมาชื่อที่อังกฤษใช้ก็เริ่มถูกนำไปใช้โดยสหรัฐ
การใช้เชอร์แมนตามหลักยุทธวิธีนั้นคือเน้นไปที่จำนวนและความคล่องตัว เพราะว่ามันมักด้อยกว่าเมื่อต่อต้องเจอกับรถถังไทเกอร์ 1 และรถถังแพนเธอร์ที่มีเกราะหนากว่าและอำนาจการยิงที่เหนือกว่า มีเพียงรถถังที-34 ของโซเวียตเท่านั้นที่สร้างมากกว่าเชอร์แมน รถถังที่ก้าวหน้าที่สุดของอเมริกาคือเอ็ม26 เพอร์ชิ่ง แต่มันถูกสร้างขึ้นมาช้าเกินไปที่จะเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 2 การพัฒนารถถังหลังจากสงครามจะเริ่มบนพื้นฐานของเอ็ม26 แต่เชอร์แมนและแบบอื่นๆ ของมันยังคงถูกใช้ฝึกและรบต่อไปในสงครามเกาหลีและสงคราม 6 วันเมื่อเข้าศตวรรษที่ 20
      The M4 Sherman, officially the Medium Tank, M4, was the primary battle tank used by the United States and the otherWestern Allies in World War II, and proved to be a reliable and highly mobile workhorse. In spite of being outweighed by the German tanks later in the war, the Sherman still proved more effective overall than the Panther according to a US Army Ballistic Research Lab study.Thousands were distributed to the Allies, including the British Commonwealth and the Soviet Union, in thelend-lease program. The M4 was the second most produced tank of the World War II era, after the Soviet T-34, and its role in its parent nation's victory was comparable to that of the T-34. The tank was named after the American Civil War General William Tecumseh Sherman by the British.
The M4 Sherman evolved from the M3 Medium Tank (a.k.a. Grant and Lee), which had an unusual side-sponson mounted 75 mm gun. It retained much of the previous mechanical design but added the first American main 75 mm gun mounted on a fully traversing turret, with a gyrostabilizer enabling the crew to fire with reasonable accuracy while the tank was on the move.The designers stressed mechanical reliability, ease of production and maintenance, durability, standardization of parts and ammunition in a limited number of variants, and moderate size and weight. These factors combined with M4 Sherman's then unquestionably superior armour and armament thoroughly outclassed earlier German light and medium tanks of 1939–41. The M4 went on to be produced in very large numbers. It formed the backbone of most offensives by the Western Allies, starting in late 1942.
When the M4 tank arrived in North Africa in 1942, it was clearly superior to both the German Panzer III medium tank, with its long barrel 50 mm gun, and the Panzer IV armed with the 75 mm gun. For this reason, the US Army believed the M4 would be adequate to win the war, and no pressure was exerted for further tank development. Logistical and transport restrictions, such as roads, ports, bridges, et cetera, would also complicate the introduction of a more capable but heavier tank.
Independent Tank Destroyer (TD) battalions, including the M36 tank destroyer using vehicles built on the M4 hull and chassis, but with open-topped turrets and more lethal, high-velocity guns, also entered widespread use among American army corps. Even by 1944, the bulk of the M4 Shermans kept their dual purpose 75 mm M3,which although possessing less penetrating power than its larger caliber German counterparts was able to destroy multiple heavier German tanks while suffering disproportionately smaller losses, 2 to 1 in the Sherman's favor. Mobility, mechanical reliability, superior crew ergonomics and the overall declining position of Germany supported by growing superiority in supporting fighter-bombers andartillery, proved more than a match for a foe that had fallen far from their pinnacle.
The relative ease of production allowed huge numbers of the M4 to be produced, and significant investment in tank recovery and repair units paid off with more disabled vehicles being repaired and returned to service. These factors combined to give the Americans numerical superiority in most battles, and allowed many infantry divisions their own M4 and TD assets. By 1944 a typical U.S. infantry division had as semi-permanently attached units an M4 Sherman battalion, a TD battalion, or both. By this stage of the war, German panzer divisions were rarely at full strength, and some U.S. infantry divisions had more fully tracked armored fighting vehicles than the depleted German panzer divisions did, providing a great advantage for the Americans. The Americans also started to introduce the M4A3E8 variant, with horizontal volute spring suspension and an improved high-velocity 76 mm gun previously used only by TDs.
Production of the M4 Sherman was favored by the commander of the armored ground forces, albeit controversially, over the heavier M26 Pershing, which resulted in the latter being deployed too late to play any significant role in the war. In the Pacific Theater, the M4 was used chiefly against Japanese infantry and fortifications; in its rare encounters with much lighter Japanese tanks with weaker armor and guns, the Sherman's superiority was overwhelming. Almost 50,000 vehicles were produced, and its chassis also served as the basis for numerous other armored vehicles such as tank destroyerstank retrievers, and self-propelled artillery.
The Sherman would finally give way to post-war tanks developed from the M26. Various original and updated versions of the Sherman, with improved weapons and other equipment, would continue to see combat effectively in many later conflicts, including the Korean WarArab-Israeli Wars, and the Indo-Pakistani War of 1965  into the late 20th century.

This is my M4>>>>>>>>



Scale  1 : 50

Download at : http://worldoftanks.ru/ru/media/10/sherman_armorbox/
                              Thankyou for papercraft file

Thankyou  and if you want to share or talk or change or want to Papercraftmodel file 
My Instagram : marvorik_kp
E-mail             : marvorik@gmail.com
Thankyou and see you 






11/11/57

Hammer of Thor Mjǫlnir,

ค้อนของธอร์หรือจะเรียกอีกอย่างว่า มยอลเนียร์ แปลว่า “The Crusher”   ค้อนนี้ตีด้วยยช่างเหล็กดวาร์ฟ บนสรวงสวรรค์ของเทพสแนดิเนเวีย ที่เรียกว่า “แอสการ์ด” ตามคำท้าพนันกับโลก

สร้างสุดยอดคุณบัติ และสร้างขึ้นเพื่อถวาย “โอดิน” ราชาแห่งแอสการ์ด และเขาก็มอบต่อให้ธอร์ โดยสร้างจากโลหะสวรรค์ที่เรียกว่า “อูรู” ที่มีหน้าตาเหมือนก้อนหิน ข้างหนึ่งมีอักษรสลักว่า “ผู้ที่คู่ควรยกค้อนนี้ได้ จะได้รับพลังของธอร์” “Whosoever Holds this hammer, If he be worthy, Shall possess the power of.. Thor”
        ในเทพปกรณัมนอร์ส ทอร์ (อังกฤษ: Thor, จากภาษานอร์สโบราณ Þórr) เป็นเทพถือค้อนซึ่งเกี่ยวข้องกับสายฟ้า ฟ้าร้อง พายุ ต้นโอ๊ก พละกำลัง การคุ้มครองมนุษยชาติ และตลอดจนการทำให้ศักดิ์สิทธิ์ การรักษาและความอุดมสมบูรณ์ เทพที่มาจากกำเนิดเดียวกันในเทพปกรณัมเยอรมันและเพเกินที่กว้างกว่า เป็นที่รูจักกันในภาษาอังกฤษโบราณว่า Þunor และภาษาเยอรมันโบราณเขตเหนือว่า Donar (อักษรรูน þonar ) ซึ่งกำเนิดจากภาษาโปรโตเยอรมัน Þunraz (หมายถถึง "สายฟ้า")
ทอร์เป็นเทพที่ได้รับการกล่าวถึงอย่างสำคัญตลอดประวัติศาสตร์ที่มีการบันทึกของชาวเยอรมัน จากการยึดครองดินแดนเยอรมาเนียของโรมัน ไปจนถึงการขยายชนเผ่าในสมัยการโยกย้ายถิ่นฐาน ไปจนถึงการได้รับความนิยมอย่างสูงในยุคไวกิ้ง เมื่อ ในการเผชิญกับกระบวนการเผยแผ่ศาสนาคริสต์เข้าไปในสแกนดิเนเวีย สัญลักษณ์ค้อนมจอลนีร์ (Mjölnir) ของพระองค์ ถูกสวมใส่เป็นการท้าทายและชื่อตัวของนอร์สเพเกินซึ่งมีชื่อของเทพเจ้าเป็นพยานต่อความนิยมของเขา เมื่อย่างเข้าสู่สมัยใหม่ ทอร์ยังได้การยอมรับต่อไปในตำนานพื้นบ้านชนบททั่วภูมิภาคเยอรมัน ทอร์มักอ้างถึงบ่อยครั้งในชื่อสถานที่ ในวันประจำสัปดาห์ วันพฤหัสบดี (Thursday ("วันของทอร์") ปรากฏนามของพระองค์ และชื่อซึ่งมาจากยุคเพเกินที่มีนามพระองค์นั้นยังมีใช้กันอยู่จวบจนปัจจุบัน
ทอร์เป็นหนึ่งในสิบสองสำคัญของเทพเจ้าสแกนดิเนเวีย เป็นเทพแห่งสายฟ้า ทอร์เป็นบุตรของเทพเจ้าโอดิน 
Pendants in a distinctive shape representing the hammer of Thor (known in Norse sources as Mjöllnir) have frequently been unearthed in Viking Age Scandinavian burials. The hammers were worn as a symbol of Norse pagan faith and as a symbol of opposition to Christianization; a response to crosses worn by Christians. Casting moulds have been found for the production of both Thor's hammers and Christian crucifixes, and at least one example of a combined crucifix and hammer has been discovered.The Eyrarland Statue, a copper alloy figure found near Akureyri, Iceland dating from around the 11th century, may depict Thor seated and gripping his hammer.
In Norse mythologyalso MjǫlnirMjollnirMjölnerMjølnerMjølnir or Mjølne) is the hammer of Thor, a major Norse god associated with thunder. Mjölnir is depicted in Norse mythology as one of the most fearsome weapons, capable of leveling mountains.In his account of Norse mythologySnorri Sturluson relates how the hammer was made by the dwarvenbrothers Sindri and Brokkr, and how its characteristically short handle was due to a mishap during its manufacture.

This is my Hammer




Thankyou  and if you want to share or talk or change or want to Papercraftmodel file 
My Instagram : marvorik_kp
E-mail             : marvorik@gmail.com
Thankyou and see you